007 ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖
ประโยชน์ ๒ ส่วน ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน

การมีชีวิตอยู่กับสังคม เราก็จะต้องรู้กาโย หรือกาย สิ่งแวดล้อม ที่ประชุมอยู่ แม้แต่ในระยะใกล้ หรือ ระยะไกล เราก็จะต้อง มีปฏิภาณ หรือมีปัญญา ที่จะรู้ พอสมควร เพื่อเราจะได้ ป้องกันตน เพื่อเราจะได้รู้ว่า สิ่งนี้เราควรรับ หรือเราไม่ควรรับ การรู้ และ การรับมา ยึดถือต่างกัน เรารู้แล้ว เราไม่รับ เมื่อเรารู้แล้วว่า อันนี้ เราไม่สมควรรับ เราได้ใช้ปัญญา มาวิเคราะห์ ตัดสินว่า สิ่งนี้ เราไม่เกี่ยวข้อง เราจะได้ วางตนถูกว่า เราจะไม่ เกี่ยวข้อง สิ่งนี้เราควรเกี่ยวข้อง เราก็จะได้ วางตนถูกว่า สิ่งนี้ต้องเกี่ยวข้อง ดูเหตุการณ์ต่างๆ ดูทั้งตน และผู้อื่น ที่เราจะเป็นไปได้ ถ้าเรามี ฤทธิ์แรง สามารถพอที่ จะช่วยผู้อื่นได้ เราก็จะช่วย อันนี้ ไม่ใช่ตายตัว

ผู้ที่มีความสามารถ สามารถจะเอื้อมไปถึง แม้แต่ ที่ตกอยู่ในนรก อยู่ในหลุมโลกโลกีย์ อันหนักหน่วง แต่ผู้ที่มีฤทธิ์มาก ก็สามารถ ที่จะเอื้อมตัว ไปเกี่ยวข้อง และสามารถ ที่จะดึง ขึ้นมาได้ ช่วยเขา เข้ามาได้

และในสถานการณ์ของ เหตุการณ์บ้านเมือง เหตุการณ์ ของสังคม เหตุการณ์ ของประชาชน ในระดับนั้น เวลานั้น มันรุนแรง มันต้องการฤทธิ์ ต้องการแรง ต้องการผู้รู้ เข้าไปร่วมตัดสิน เข้าไปร่วม ทำกิจด้วย เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ไปตัดสิน เมื่อประชาชน ทะเลาะกัน อย่างใหญ่หลวง เป็นเรื่องของ การทะเลาะกัน ระดับ หมู่ชนใหญ่ ทีเดียว เป็นเรื่องการเมือง พระพุทธเจ้า ก็ต้องเข้าไปตัดสิน เมื่อเหตุการณ์ แวดวงนั้น สมควร เพราะเป็น ความจำเป็นน่ะ แต่ท่านจะทำ ท่านก็ต้องรู้ตนว่า สมควรเกี่ยวข้อง หรือไม่ และ จะมีผลดี ตามควรหรือไม่ ท่านก็ทำ ตามหน้าที่ ตามความเหมาะสม มีอัตตัญญุตา มีการประมาณตน มีการประมาณหมู่ มีการประมาณบุคคล เพราะฉะนั้น ทุกคนก็สามารถ ที่จะศึกษา

ถ้าอันนี้เรา แม้แต่อย่าว่า แต่เราเอง เข้าไปร่วม ตัดสินเลย แม้แต่เราแค่ ไปรับสัมผัส เราก็อ่อนแอแล้ว เราก็ไม่รอดแล้ว เราก็ป้อแป้แล้ว เราไปไม่รอด เราต้องติด หรือเราต้องผลัก ต้องดูด อะไรรุนแรง เราก็ต้องรู้ตัวว่า เราเอง เราก็อย่าเพิ่ง หรือบางที เราต้องรู้ว่า เราเองเรานี่ ผลักเสียจน เราไม่เคย ที่จะทำให้เป็น โลกุตรจิตเลย ได้แต่ผลักๆ แบบชนิดหนีโลก เราก็จะต้อง สัมผัสดูบ้าง หัดเรียนรู้ว่า ขณะนี้ เรามีอินทรีย์พละ พอหรือไม่ ที่เราจะสัมผัส สิ่งนี้แล้ว เราก็ไม่หวั่นไหว เราไม่เกรงกลัว เราจะไม่เกรงกลัว แล้วเรารู้ตนอีกว่า เราสามารถ อุ้มชูเขา ได้หรือไม่ เราจะช่วยเขา ได้หรือไม่ นี่เขาทุกข์ร้อนนะ เขาลำบากนะ เขาจมอยู่ในนรก อยู่ในโลกีย์ อยู่ในโลก ที่น่าสงสารน่ะ เราจะช่วย ได้หรือไม่ ก็ดูตน ถ้าเราพอช่วยได้ เราสัมผัส ก็สามารถ ทนได้ และ เอื้อมช่วยเขาได้ เราก็ทำ ตามที่พอเป็นไป อย่างนี้เป็นเรื่อง มโนธรรมสำนึก เป็นเรื่องของ จิตของมนุษย์ เป็นเรื่องของจิต ของอริยชาติ เป็นเรื่องของจิต ของผู้ที่เป็น อริยชนแท้ ที่จะต้องรู้ ความเป็นจริง แห่งความประชุม เรียกว่า กาโย หรือ กาย

เพราะฉะนั้น เราก็ต้องดู อย่างใจตรง ใจเที่ยง เราต้องมี สัปปุริสธรรม ๗ ประการ เพื่อที่จะ ประมาณ เพื่อที่จะพิจารณา ทั้งคนและ สิ่งแวดล้อม ทั้งเหตุการณ์ ทั้งเวลา ทั้งอะไร ต่ออะไร ทุกอย่าง ที่จะคำนวณ ประมาณว่า อันนี้สมควรหรือไม่ ที่จะเป็นไป และเราจะต้อง เกี่ยวข้อง อะไรไม่น่าเกี่ยวข้อง เราได้พิจารณา ตัดสินแล้ว เราก็วางอยู่ อะไรที่น่าเกี่ยวข้อง หรือว่า ควรเกี่ยวข้องแล้ว เราก็ต้องเกี่ยวข้อง หรือบางอย่าง เราไม่อยาก เกี่ยวข้องเลย แต่เราจำนน มันต้องเกี่ยวข้อง เพราะเราตกอยู่ ในสถานที่ อย่างนี้ กาละอย่างนี้ สิ่งแวดล้อม อย่างนี้ เป็นอย่างนี้ จำนน เราก็จะต้องตั้งใจ อย่างแข็งแรง เพื่อที่จะสู้สิ่งนั้น อย่างอาจหาญ ชาญกล้า และไม่หลง ไม่เลอะ มีสติ และ มีกำลัง ที่เต็มที่ ที่เราจะต้องทำ ให้ดีที่สุด ที่จะดีได้ เหตุการณ์อย่างนั้น ก็จะเกิดขึ้น สำหรับคน บางครั้ง บางคราวแน่นอน นี่เป็นเรื่องของ การรู้รอบ การรู้ทั่ว และเราเอง ก็มีประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน อยู่อย่างถูกต้อง ตามหลักเกณฑ์ ของ ศาสนาพระพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้น การรู้หรือการรับ จึงจะต้อง ทั้งพิจารณาแล้ว ก็จะทั้งรู้ว่า การจะปล่อย หรือจะถือ การถือนี่ ไม่ใช่ว่า การถือ อย่างยึดมั่น ถือมั่น แต่เป็นการอาศัย เป็นการถือ เป็นการ ช่วยเหลือเกื้อกูล เป็น พหุชนะหิตายะ เป็นศาสนา ที่อยู่กับสังคม อยู่กับมวลมนุษยชาติ ตามหน้าที่ของเรา คนที่เป็นสัตวโลก
เพราะฉะนั้น

เราจึงจะต้อง มีความรู้อย่างนี้ แล้วก็ฝึกไป ไม่ใช่เรา จะรู้ไปทีเดียว วันเดียว จะรู้พรวดพราด ได้เลย ไม่ได้ เราจะต้องค่อยๆ ศึกษา ค่อยๆรู้ ค่อยๆ ฝึกปรือ ค่อยๆพิสูจน์ เราจึงจะเป็น ผู้รู้ว่า เป็นผู้รับ หรือว่า เป็นผู้ปล่อย อย่างที่เรียกว่า เรารับนี่ เราต้อง มีประโยชน์แก่เขา ไม่นะ เราปล่อย ก็เพราะว่า เราเอง เราต้องเป็น ประโยชน์ตน การปล่อย เป็นประโยชน์ตน การรับ เพื่อที่จะ ช่วยเหลือผู้อื่น เป็นประโยชน์ท่าน
เพราะฉะนั้น การกระทำ ให้ประโยชน์เกิด ๒ ส่วน เป็น อุภโตภาค อยู่ก็มี ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านนั้น ก็จะต้องเป็น ผู้ที่รู้ตน รู้ท่าน อย่างสมเหมาะ สมควร และรู้องค์ประชุม องค์ประกอบ กาลเวลา ฐานะเทศะ อะไรทุกอย่าง จะต้องรู้จริงๆ เราจึงจะเป็น ผู้ที่มีประโยชน์ ทั้งตนและท่าน อย่างสอดคล้อง ไปด้วยกันได้ดี อย่างที่สุด

นี่ก็ขอให้พวกเรา ได้เข้าใจ อย่างละเอียด เรียกว่า เข้าใจให้ถูก เป้าประเด็น ให้ดีๆ ไม่เช่นนั้นแล้ว กลายเป็น การปล่อยหนี โดยที่เราเอง เราก็ไม่แข็งแรง อยู่ตลอด นิรันดร์น่ะ เสร็จแล้ว เราก็กลายเป็น อีกอันหนึ่ง ซึ่งไม่เข้าร่อง เข้ารอย ของพระพุทธเจ้า แต่ก็อย่าห่าม อย่าเหิม อย่าประมาท อย่าอวดดี ถ้าผู้ใดห่าม เหิม ประมาท อวดดี หรือ มีความสุดโต่ง ไปในทาง ที่เรียกว่า ตั้งหน้าเข้าสู้ โดยที่ไม่ประมาณ อะไรเลย ไม่รู้จักปล่อยจักวาง ไม่รู้จัก ประมาณน่ะ ที่สมควร หรือไม่สมควร อย่างแท้จริง เราก็จะกลายเป็น แพ้พ่าย เรียกว่า เลยเถิดไปอีก โต่งไปอีกฝั่งหนึ่ง เช่นเดียวกัน ขอให้คำนวณ อย่างละเอียดลออ รู้ทุกมุม ทุกด้าน ให้สมส่วน แล้วเราก็จะได้ ปฏิบัติตน อย่างถูก สัมมาทิฏฐิ เป็นประโยชน์ ตามมรรค องค์ ๘ ที่เป็นทางปฏิบัติน่ะ แล้วก็รู้ฐานะ แห่งตน อย่างแท้จริง เดินไปอย่างเร็ว เพราะว่า มันครบพร้อม เป็นสัมมา ทุกๆอย่าง ในอริยมรรค องค์ ๘ เป็นสัมมา ครบพร้อม

เราจึงจะเป็น สุขา ปฏิปทา และ ขิปปาภิญญา คือปฏิบัติ อย่างเคร่งครัด ตึงตัว พอปานกลางนะ อย่างพอดี สบายๆ แต่ไม่ใช่หย่อนยาน แล้วเรา ก็จะได้ปฏิบัติ ได้ผลเร็ว ที่เรียกว่า ขิปปาภิญญา ทุกคน

สาธุ!.

ธรรมปัจเวกขณ์ ๒๕๒๖